1. ระบบการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น เพราะเหตุใด
ก. มนุษย์ต้องการความยอมรับจากผู้อื่น ข. มนุษย์มีการติดต่อสื่อสาร
ค. มนุษย์มีความถนัดในการผลิตแตกต่างกัน ง. มนุษย์มีการใช้โทรศัพท์
2. ปัญหาการแลกเปลี่ยนแก้ไขได้โดยใช้อะไรบ้าง
ก. คนกลาง,ตลาด,ระบบเงินตรา ข. ตลาด,ระบบเงินตรา
ค. ระบบเงินตรา,คนกลาง ง. ผู้ซื้อ,คนกลาง,ระบบเงินตรา
3. จากพิจารณาข้อความต่อไปนี้ว่าเป็นแนวความคิดทางการตลาดข้อใด“โรงเรียนวิมลพณิชยการ ศรีย่าน เชิญบริษัทแกรมมี่มาช่วยจัดคอนเสริตการกุศล”
ก. แบบมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ ข. แบบมุ่งเน้นการขาย
ค. แบบมุ่งเน้นตลาดและสังคมและพันธมิตรธุรกิจ ง. แบบมุ่งเน้นพันธมิตรธุรกิจ
4. แนวความคิดทางการตลาดแบบใหม่ต้องการให้ได้รับผลผลตอบแทนแบบใด
ก. กำไร,ตัวสินค้า ข. กำไร,ความพึงพอใจของลูกค้า
ค. ยอดขาย,ความพึงพอใจของลูกค้า ง. กำไร,ยอดขาย
5. หน้าที่เกี่ยวกับการจัดจำหน่าย คือข้อใด
ก. การจัดซื้อและการขาย ข. การขนส่งและการตลาด
ค. การหาตลาดและการขาย ง. การเก็บรักษา และการขนส่ง
6. ข้อใดเป็นลักษณะของตลาดผู้บริโภค
ก. มีระบบแบบแผนที่ชัดเจน ข. ซื้อครั้งละมากๆ
ค. ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อ ง. มีความยืดหยุ่นต่อราคาน้อย
จงพิจารณาคำตอบต่อไปนี้แล้วตอบคำถามข้อ 7-10
ก. Consumer Goods ข. Convenience Goods
ค. Shopping Goods ง. Specialty Goods
7. หนังสือพิมพ์เป็นสินค้าประเภทใด
ข. Convenience Goods
8. กล้องถ่ายรูป Cannon เป็นสินค้าประเภทใด
ง. Specialty Goods
9. หนังสือสารานุกรม, เครื่องชงกาแฟ เป็นสินค้าประเภทใด
ค. Shopping Goods
10. รูปสัญลักษณ์โรงเรียนที่ปกสมุด ซึ่งนักศึกษาซื้อมาใช้ หมายถึงข้อใด
ก . Brand Name ข. Brand Mark
ค. Trade Mark ง. Logo
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553
UP วิตามินให้ผิวผ่องกันเถอะ (ลิซ่า)
เห็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่แต่ละคนผิวใสเหมือนหยวกกล้วยกันทั้งนั้นเค้าจะมีเคล็บลับอะไรหนอ ถ้าจะไปพึ่งศัลยกรรมก็กลัวจะเป็นแบบ ไมเคิล แจ็กสัน อย่าถึงกระนั้นเลย มาเริ่มต้นที่อาหารการกินดีกว่า เพื่อผิวสวยผ่องท่องเอาไว้ วิตามิน A, B, C, E, K คือสิ่งที่เราต้องมองหา
วิตามิน C, E สำหรับสาวทนแดด
สำหรับสาว ๆ เมืองร้อนอย่างเรา วิตามินซีและอีนี่ล่ะที่จะช่วยทำให้ผิวแข็งแรงปกป้องผิวจากแสงแดดและป้องกันผิวจากแสงแดดและป้องกันไม่ให้ผิวไหม้ โดยวารสาร Investigative Dermatology เปิดเผยว่า คนที่กินวิตามินซีและอีเป็นเวลานานจะช่วยลดรอยไหม้ จากการสัมผัสกับรังสี UVB ได้ด้วยนะ
วิตามิน C หาได้ทั่วไปจากผลไม้ตระกูลส้ม หรือผักต่าง ๆ อย่าง พริกหวาน บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก ผักใบเขียว ถ้าใครชอบความสะดวกสบาย อยากกินวิตามินเสริมก็ควรกินในปริมาณ 500 - 1000 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามิน E อยู่ในน้ำมันพืช ถั่ว เมล็ดพืชต่าง ๆ มะกอก ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง ส่วนคนที่มองหาแคปซูลก็ต้องเตือนกันตรงนี้ว่า วิตามินอีค่อนข้างอันตรายในปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวันอาจช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิว แต่เราควรจะปรึกษาคุณหมอก่อนกินนะคะ
วิตามิน A เพื่อผิวชุ่มชื้น
ที่เราท่องกันตอนเด็ก ๆ "เอตา ชาบี.." ความจริงแล้ววิตามินเอมีหน้าที่มากกว่านั้น ถ้าหากไม่มีวิตามินเอละก็ บอกลาผิวที่เต่งตึงไปได้เลย เพราะผิวของเราจะแห้งผาก และกลายเป็นขุย ๆ เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญมากกับการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของผิว ช่วยให้เซลล์เติบโต หากเราขาดวิตามินชนิดนี้ไปบ้าง ผิวหนังของเราก็จะเริ่มหยาบกร้านแล้วนะ นอกจากนี้ อาหารที่มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวิตามินเอชนิดหนึ่ง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เราเป็นโรคสะเก็ดเงินได้
วิตามิน A สามารถหาได้จากตับลูกวัว นม ไข่ แครอต มะเขือเทศสุก ผักโขม พริกหวานสีแดง ผักคะน้า และ แคนตาลูป สำหรับ แคปซูล แล้ว วัยรุ่นกับว่าที่คุณแม่ไม่ควรกินเกินว่า 2,800 IU ส่วนคนที่กินมากเกินไปอาจทำให้ท้องร่วง อาเจียน หรือมีอาการอื่น ๆ ได้
วิตามิน B รากฐานของผิวที่ดี
ถ้าเป็นเรื่องของผิวที่กระจ่างใสแล้ว จะไม่พูดถึง วิตามินบี ไบโอติน คงเป็นไปไม่ได้ วิตามินชนิดนี้ เป็นสารอาหารที่จะกลายมาเป็นผิวหนัง เล็บ และเซลล์เส้นผม ถ้าไม่ได้รับมากเพียงพอ โรคผิวหนังจะถามหา ตั้งแต่อาการคัน ผิวถลอก แดง แสบ บางครั้งก็อาจมีผมร่วงด้วย (น่ากลัวใช่มั้ยล่ะ)
วิตามิน B หาได้ง่าย และเราส่วนใหญ่มีมากเพียงพอโดยไม่ต้องหาที่ไหนเพิ่ม พบได้ในอาหารอย่างกล้วย ไข่ ข้าว และข้าวโอ๊ต แถมร่างกายยังสร้างเองได้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงนัก
วิตามิน K ลบล้างรอยช้ำ
เรารู้กันดีว่าวิตามินชนิดนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดอุดตัน ทีนี้งงใช่มั้ยล่ะคะว่ามาเกี่ยวข้องกับผิวสวยของเราได้อย่างไร ? คำตอบก็คือ วิตามินเคจะช่วยบรรเทารอยหมีแพนด้าและรักษารอยฟกช้ำได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายเราไม่ได้ต้องการวิตามินแคมากมายแค่ 100 ไมโครกรัมต่อวันก็เพียงพอแล้ว
วิตามิน K หาได้จากผักใบเขียว น้ำมันถั่วเหลือง กาแฟ ลูกแพร เนื้อสัตว์ นม และเนย นอกจากนี้ ลำไส้เล็กของเราก็สร้างวิตามินเคได้เองอีกด้วยนะ
อาหารเสริมและวิตามินรวมจำเป็นต้องกินให้ผิวสวยรึเปล่า ?
อาหารเสริม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เสริม เราไม่จำเป็นต้องกินวิตามินรวมทุกชนิดที่วางขายในท้องตลาด แต่เลือกกินอย่างชาญฉลาดเพื่อที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่สิ่งที่เราต้องใส่ใจก็คือการดื่มน้ำให้มาก ๆ และกินอาหารดี ๆ มีประโยชน์ แล้วค่อยตามด้วยวิตามิน เสริม ต่างหาก
หมั่นตรวจตรา ดูแลร่างกายตัวเอง เดือนละครั้ง สละเวลามาสำรวจไฝหรือปานบนร่างกาย อย่าลืมให้เพื่อนดูที่หนังศีรษะ ของสงวน และใต้ฝาเท้าด้วย ไฝและปานที่มีสีหรือรูปร่างผิดปกติอาจนำไปสู่มะเร็งผิวหนังได้นะ
วิตามิน C, E สำหรับสาวทนแดด
สำหรับสาว ๆ เมืองร้อนอย่างเรา วิตามินซีและอีนี่ล่ะที่จะช่วยทำให้ผิวแข็งแรงปกป้องผิวจากแสงแดดและป้องกันผิวจากแสงแดดและป้องกันไม่ให้ผิวไหม้ โดยวารสาร Investigative Dermatology เปิดเผยว่า คนที่กินวิตามินซีและอีเป็นเวลานานจะช่วยลดรอยไหม้ จากการสัมผัสกับรังสี UVB ได้ด้วยนะ
วิตามิน C หาได้ทั่วไปจากผลไม้ตระกูลส้ม หรือผักต่าง ๆ อย่าง พริกหวาน บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก ผักใบเขียว ถ้าใครชอบความสะดวกสบาย อยากกินวิตามินเสริมก็ควรกินในปริมาณ 500 - 1000 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามิน E อยู่ในน้ำมันพืช ถั่ว เมล็ดพืชต่าง ๆ มะกอก ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง ส่วนคนที่มองหาแคปซูลก็ต้องเตือนกันตรงนี้ว่า วิตามินอีค่อนข้างอันตรายในปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวันอาจช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิว แต่เราควรจะปรึกษาคุณหมอก่อนกินนะคะ
วิตามิน A เพื่อผิวชุ่มชื้น
ที่เราท่องกันตอนเด็ก ๆ "เอตา ชาบี.." ความจริงแล้ววิตามินเอมีหน้าที่มากกว่านั้น ถ้าหากไม่มีวิตามินเอละก็ บอกลาผิวที่เต่งตึงไปได้เลย เพราะผิวของเราจะแห้งผาก และกลายเป็นขุย ๆ เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญมากกับการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของผิว ช่วยให้เซลล์เติบโต หากเราขาดวิตามินชนิดนี้ไปบ้าง ผิวหนังของเราก็จะเริ่มหยาบกร้านแล้วนะ นอกจากนี้ อาหารที่มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวิตามินเอชนิดหนึ่ง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เราเป็นโรคสะเก็ดเงินได้
วิตามิน A สามารถหาได้จากตับลูกวัว นม ไข่ แครอต มะเขือเทศสุก ผักโขม พริกหวานสีแดง ผักคะน้า และ แคนตาลูป สำหรับ แคปซูล แล้ว วัยรุ่นกับว่าที่คุณแม่ไม่ควรกินเกินว่า 2,800 IU ส่วนคนที่กินมากเกินไปอาจทำให้ท้องร่วง อาเจียน หรือมีอาการอื่น ๆ ได้
วิตามิน B รากฐานของผิวที่ดี
ถ้าเป็นเรื่องของผิวที่กระจ่างใสแล้ว จะไม่พูดถึง วิตามินบี ไบโอติน คงเป็นไปไม่ได้ วิตามินชนิดนี้ เป็นสารอาหารที่จะกลายมาเป็นผิวหนัง เล็บ และเซลล์เส้นผม ถ้าไม่ได้รับมากเพียงพอ โรคผิวหนังจะถามหา ตั้งแต่อาการคัน ผิวถลอก แดง แสบ บางครั้งก็อาจมีผมร่วงด้วย (น่ากลัวใช่มั้ยล่ะ)
วิตามิน B หาได้ง่าย และเราส่วนใหญ่มีมากเพียงพอโดยไม่ต้องหาที่ไหนเพิ่ม พบได้ในอาหารอย่างกล้วย ไข่ ข้าว และข้าวโอ๊ต แถมร่างกายยังสร้างเองได้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงนัก
วิตามิน K ลบล้างรอยช้ำ
เรารู้กันดีว่าวิตามินชนิดนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดอุดตัน ทีนี้งงใช่มั้ยล่ะคะว่ามาเกี่ยวข้องกับผิวสวยของเราได้อย่างไร ? คำตอบก็คือ วิตามินเคจะช่วยบรรเทารอยหมีแพนด้าและรักษารอยฟกช้ำได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายเราไม่ได้ต้องการวิตามินแคมากมายแค่ 100 ไมโครกรัมต่อวันก็เพียงพอแล้ว
วิตามิน K หาได้จากผักใบเขียว น้ำมันถั่วเหลือง กาแฟ ลูกแพร เนื้อสัตว์ นม และเนย นอกจากนี้ ลำไส้เล็กของเราก็สร้างวิตามินเคได้เองอีกด้วยนะ
อาหารเสริมและวิตามินรวมจำเป็นต้องกินให้ผิวสวยรึเปล่า ?
อาหารเสริม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เสริม เราไม่จำเป็นต้องกินวิตามินรวมทุกชนิดที่วางขายในท้องตลาด แต่เลือกกินอย่างชาญฉลาดเพื่อที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่สิ่งที่เราต้องใส่ใจก็คือการดื่มน้ำให้มาก ๆ และกินอาหารดี ๆ มีประโยชน์ แล้วค่อยตามด้วยวิตามิน เสริม ต่างหาก
หมั่นตรวจตรา ดูแลร่างกายตัวเอง เดือนละครั้ง สละเวลามาสำรวจไฝหรือปานบนร่างกาย อย่าลืมให้เพื่อนดูที่หนังศีรษะ ของสงวน และใต้ฝาเท้าด้วย ไฝและปานที่มีสีหรือรูปร่างผิดปกติอาจนำไปสู่มะเร็งผิวหนังได้นะ
ใบความรู้ เรื่องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
ใบความรู้ เรื่องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เป็นการค้นหาหรือวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อและการใช้ของผู้บริโภค เพื่อทราบถึงลักษะความต้องการและพฤติกรรมการซื้อและการใช้ของผู้บริโภค คำตอบที่ได้จะช่วยให้นักการตลาดจัดกลยุทธ์การตลาดที่สนองความต้องการหรือความพึงพอใจของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม
คำถามที่ใช้เพื่อค้นหาลักษณะพฤติกรรมของผู้บริโภค (6 W 1 H)
1. ใครอยู่ในตลาดเป้าหมาย (Who is in the target market?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์ว่าใครคือผู้ซื้อสินค้าหรือใครคือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคำตอบก็คือ กลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจได้เลือกไว้แล้ว
2. ผู้บริโภคซื้ออะไร (What does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ผู้บริโภคซื้อคืออะไร คำตอบก็คือซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหรือองค์ประกอบแตกต่างหรือเหนือกว่าของคู่แข่งขัน กลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้หลังจากที่ทราบคำตอบข้อนี้แล้วคือ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ คือจะต้องจัดการเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า รูปแบบและคุณภาพ เพื่อสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าตามที่กล่าวมาแล้ว
3. ทำไมผู้บริโภคจึงซื้อสินค้า (Why does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์สาเหตุการซื้อของผู้บริโภคธุรกิจจะต้องศึกษาถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งโดยทั่วไปผู้บริโภคซื้อสินค้าเพื่อสนองความต้องการด้านร่างกาย เช่น หิว หรือซื้อเพื่อสนองความต้องการทางด้านจิตวิทาเช่น ต้องการการยอมรับ ต้องการความปลอดภัย เป็นต้น กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้มากคือเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด
4. ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ (Who participates in the buying) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์ถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ ธุรกิจจะต้องศึกษาบทบาทของกลุ่มต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่ง Professor Philip Kotler ได้แบ่งผู้มีส่วนร่วมในการซื้อออกเป็น 5 กลุ่มคือ
4.1 ผู้ริเริ่ม คือ ผู้แนะนำหรือผู้ที่มีความคิดจะซื้อสินค้า
4.2 ผู้มีอิทธิพล คือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า
4.3 ผู้ตัดสินใจซื้อ คือ ผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะซื้ออะไร อย่างไร ที่ไหน
4.4 ผู้ซื้อ คือ ผู้ที่ทำการซื้อสินค้า
4.5 ผู้ใช้ คือ ผู้ที่ใช้สินค้าหรือบริการ
กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้มาก คือ กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดโดยเฉพาะการโฆษณาซึ่งจะมุ่งเน้นการใช้ผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อ จึงใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นที่นิยมชื่นชอบของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
5. ผู้บริโภคซื้อเมื่อใด ( When does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์เวลาในการซื้อของว่าซื้อเมื่อใด เช่นช่วงวันใด เดือนใด เทศกาลใด หรือในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลวันสำคัญใด กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้คือกลยุทธ์ในการส่งเสริมการตลาด และจะต้องทำการส่งเสริมการตลาดที่สอดคล้องในช่วงที่ผู้บริโภคซื้อสินค้า
6. ผู้บริโภคซื้อสินค้าที่ไหน (Where does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์แหล่งที่ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์นั้นคือที่ใด เช่นห้างสรรพสินค้า ร้านขายของชำ บางลำพู พาหุรัด เป็นต้น หลังจากที่ทราบคำตอบแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายซื้อจากที่ใด ขั้นต่อไปก็คือ การเลือกใช้กลยุทธ์ ซึ่งในข้อนี้กลยุทธ์ที่ใช้คือ กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นการพิจารณาว่าจะใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยทางตรงหรือทางอ้อม ถ้าเป็นทางอ้อม จะเลือกใช้คนกลางประเภทใด
7. ผู้บริโภคซื้ออย่างไร (How does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์พฤติกรรมในการซื้อของผู้บริโภค ว่าซื้ออย่างไร ซึ่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจะเป็นไปตามขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ คือ
7.1 รับรู้ปัญหา
7.2 การค้นหาข้อมูล
7.3 การประเมินทางเลือก
7.4 การตัดสินใจซื้อ
7.5 ความรู้สึกภายหลังการซื้อ กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้ในข้อนี้คือ กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ซึ่งประกอบด้วย การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การขายโดยใช้พนักงานขาย และการส่งเสริมการขาย
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เป็นการค้นหาหรือวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อและการใช้ของผู้บริโภค เพื่อทราบถึงลักษะความต้องการและพฤติกรรมการซื้อและการใช้ของผู้บริโภค คำตอบที่ได้จะช่วยให้นักการตลาดจัดกลยุทธ์การตลาดที่สนองความต้องการหรือความพึงพอใจของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม
คำถามที่ใช้เพื่อค้นหาลักษณะพฤติกรรมของผู้บริโภค (6 W 1 H)
1. ใครอยู่ในตลาดเป้าหมาย (Who is in the target market?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์ว่าใครคือผู้ซื้อสินค้าหรือใครคือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคำตอบก็คือ กลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจได้เลือกไว้แล้ว
2. ผู้บริโภคซื้ออะไร (What does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ผู้บริโภคซื้อคืออะไร คำตอบก็คือซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหรือองค์ประกอบแตกต่างหรือเหนือกว่าของคู่แข่งขัน กลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้หลังจากที่ทราบคำตอบข้อนี้แล้วคือ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ คือจะต้องจัดการเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า รูปแบบและคุณภาพ เพื่อสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าตามที่กล่าวมาแล้ว
3. ทำไมผู้บริโภคจึงซื้อสินค้า (Why does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์สาเหตุการซื้อของผู้บริโภคธุรกิจจะต้องศึกษาถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งโดยทั่วไปผู้บริโภคซื้อสินค้าเพื่อสนองความต้องการด้านร่างกาย เช่น หิว หรือซื้อเพื่อสนองความต้องการทางด้านจิตวิทาเช่น ต้องการการยอมรับ ต้องการความปลอดภัย เป็นต้น กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้มากคือเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด
4. ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ (Who participates in the buying) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์ถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ ธุรกิจจะต้องศึกษาบทบาทของกลุ่มต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่ง Professor Philip Kotler ได้แบ่งผู้มีส่วนร่วมในการซื้อออกเป็น 5 กลุ่มคือ
4.1 ผู้ริเริ่ม คือ ผู้แนะนำหรือผู้ที่มีความคิดจะซื้อสินค้า
4.2 ผู้มีอิทธิพล คือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า
4.3 ผู้ตัดสินใจซื้อ คือ ผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะซื้ออะไร อย่างไร ที่ไหน
4.4 ผู้ซื้อ คือ ผู้ที่ทำการซื้อสินค้า
4.5 ผู้ใช้ คือ ผู้ที่ใช้สินค้าหรือบริการ
กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้มาก คือ กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดโดยเฉพาะการโฆษณาซึ่งจะมุ่งเน้นการใช้ผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อ จึงใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นที่นิยมชื่นชอบของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
5. ผู้บริโภคซื้อเมื่อใด ( When does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์เวลาในการซื้อของว่าซื้อเมื่อใด เช่นช่วงวันใด เดือนใด เทศกาลใด หรือในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลวันสำคัญใด กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้คือกลยุทธ์ในการส่งเสริมการตลาด และจะต้องทำการส่งเสริมการตลาดที่สอดคล้องในช่วงที่ผู้บริโภคซื้อสินค้า
6. ผู้บริโภคซื้อสินค้าที่ไหน (Where does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์แหล่งที่ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์นั้นคือที่ใด เช่นห้างสรรพสินค้า ร้านขายของชำ บางลำพู พาหุรัด เป็นต้น หลังจากที่ทราบคำตอบแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายซื้อจากที่ใด ขั้นต่อไปก็คือ การเลือกใช้กลยุทธ์ ซึ่งในข้อนี้กลยุทธ์ที่ใช้คือ กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นการพิจารณาว่าจะใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยทางตรงหรือทางอ้อม ถ้าเป็นทางอ้อม จะเลือกใช้คนกลางประเภทใด
7. ผู้บริโภคซื้ออย่างไร (How does the consumer buy?) เป็นคำถามที่ต้องการวิเคราะห์พฤติกรรมในการซื้อของผู้บริโภค ว่าซื้ออย่างไร ซึ่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจะเป็นไปตามขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ คือ
7.1 รับรู้ปัญหา
7.2 การค้นหาข้อมูล
7.3 การประเมินทางเลือก
7.4 การตัดสินใจซื้อ
7.5 ความรู้สึกภายหลังการซื้อ กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้ในข้อนี้คือ กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ซึ่งประกอบด้วย การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การขายโดยใช้พนักงานขาย และการส่งเสริมการขาย
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)